วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประวัตินกแขกเต้า จากกาพย์เห่ชมนก
























นกแขกเต้า Psittacula alexandri (Red-beasted Parakeet) อยู่ในวงศ์นกแก้ว
ซึ่งมีหัวโต ปากงุ้ม พบในประเทศไทยจำนวน 7 ชนิด 4 ชนิดมีหางยาว คือ นกแก้วโม่ง( Alexandrine Parakeet ) นกแก้วหัวแพร ( Blossom-headed Parakeet ) นกกะลิง (Grey-headed Parakeet ) และนกแขกเต้า (Red-breasted Parakeet) และอีก 3 ชนิดไม่มีหางยาวยื่นออกมา ชอบเกาะห้อยหัวลงจึงเรียกว่านกหก ได้แก่นกหกใหญ่ ( Blue-rumped Parrot ) นกหกเล็กปากแดง ( Vernal Hanging Parrot ) และนกหกเล็กปากดำ (Blue-crowned Hanging Parrot)
(สังเกตว่านกที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่าparakeet จะเป็นนกแก้ว ส่วนนกที่เรียกว่าparrot ที่เราแปลว่านกแก้ว กลายเป็นชื่อนกหก หมดเลย)
lนกแขกเต้ามีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 36 เซนติเมตร มีหัวโต คอสั้น ปากงองุ้ม ปีกยาวและแคบ หางยาว ขนหางคู่กลางยาวมากและเรียวแหลมสีเขียวอมฟ้า ขาสั้นแต่ใหญ่แข็งแรง หัวสีม่วงแกมเทา ที่หน้าผากมีเส้นสีดำลากไปจรดหัวตาทั้งสองข้าง มีแถบสีดำลากจากโคนปากลงไปสองข้างคอคล้ายเครา อกสีออกแดง ขนคลุมลำตัวส่วนที่เหลือเป็นสีเขียว นก 2 เพศแตกต่างกันตรงที่นกตัวผู้มีปากบนสีแดง อกมีสีแกมม่วง นกตัวเมียมีปากสีดำ อกมีสีชมพูอมส้ม
 เช่นเดียวกับนกแก้วชนิดอื่น นกแขกเต้าทำรังในโพรงไม้ โดยเมื่อถึงฤดูหนาว นกที่จับคู่แล้วจะแยกตัวออกมาหาที่ทำรังตามโพรงไม้ธรรมชาติ หรือตามโพรงรังของสัตว์อื่น หรือโพรงรังเก่าที่เคยใช้ ทั้งสองจะช่วยกันทำความสะอาดโพรงรังจนเกลี้ยง ไม่มีการนำวัสดุมารองรัง เมื่อเรียบร้อยแล้ว นกจะวางไข่ราว3-4ฟอง เปลือกไข่ค่อน
              



พญามังรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา

พระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ตั้งอยู่ในตัวเมืองจังหวัดเชียงราย
บริเวณทางแยกที่จะไป อำเภอแม่จัน



                         พระราชตระกูลของพญามังรายมหาราช  เริ่มต้นตั้งแต่ชาวไทยภาคเหนือหรือชาวไทยยวนอันเป็นบรรพบุรุษของชาวล้านนาหรือไทยเหนือในปัจจุบัน ได้อพยพหนีภัยจากการรุกรานของจีน เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง เมื่อประมาณ พ.ศ.๑๑๘๒  อันเป็นที่อยู่ของพวกชนเผ่าละว้าหรือลัวะ  ชนเผ่าไทยยวนได้ขับไล่พวกละว้าออกไปแล้วตั้งอาณาจักรของตนขึ้นใหม่ว่า อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง และได้สถาปนาพระมหากษัตริย์ปกครองเมืองคือ พญาลวจังกราชหรือปู่เจ้าลาวจกนั่นเองครับ  ซึ่งพระองค์ก็คือบรรพบุรุษของพญามังรายมหาราชครับ  พญาลวจังกราชได้สถาปนาราชวงศ์ จักราช และทรงมีพระราชโอรส ๓ พระองค์คือ ลาวหม้อ(ต่อมาได้ครองเมืองเชียงลาว)  ลาวล้าน(ต่อมาได้ทรงครองเมืองเชียงรุ้ง)  ลาวกลิ่น(ต่อมาทรงได้ครองเมืองเวียงสีทอง) พระโอรสที่มีความสังพันธ์เกี่ยวเนื่องกับพญามังรายมหาราชก็คือพญาลาวล้านและพญาลาวกลิ่น กล่าวคือ พญาลาวล้านเมื่อทรงครองราชย์ที่นครเชียงรุ้งนั้นได้ทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า ท้าวรุ้งแก่น และทรงมีพระธิดาพระนามว่า เจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง  ส่วนพญาลาวกลิ่นเจ้าแผ่นดินเวียงสีทองทรงมีพระโอรสพระนามว่า ลาวเคียง เมื่อลาวเคียงได้เป้นรัชทายาทก็ทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า พญาลาวเงิน  เมื่อพญาลาวเงินทรงครองราชย์สมบัติก็ได้ทรงมีพระโอรสพระนามว่า ลาวเม็ง กล่าวคือพญาลาวเม็งเป็นหลานปู่ของพญาลาวกลิ่น
                                เมื่อพญาลาวเงินสิ้นพระชนม์  พญาลาวเม็งก็ได้ทรงครองราชย์สืบมา  พญาลาวเม็งทรงมีความต้องการที่จะได้เมืองเชียงรุ้งเป็นพระเทศราชซึ่งเมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองที่ใหญ่โตและอุดมสมบูรณ์ซึ่งจะทำให้แคว้นเวียงสีทองมีความยิ่งใหญ่ขึ้น ขณะนั้นท้าวรุ้งแก่นแห่งแคว้นเชียงรุ้งทรงชราภาพมากแล้ว เมื่อพญาลาวเม็งยกทัพมาประชิดพระนคร เจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมืองพระราชิดาจึงอาสายกทัพไปรบกับพญาลาวเม็งโดยทรงปลอมพระองค์เป็นชาย ซึ่งพญาลาวเม็งทรงทราบว่าแท้จริงแล้วเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมืองเป็นหญิง พยาลาวเม็งจึงทรงมีพระราชหฤทัยเสน่หาในเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง จนในที่สุดพญาลาวเม็งก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง และได้เปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าเทพคำขยาย 
                             พญาลาวเม็งและเจ้าเทพคำขยาย ทรงมีความสุขอยู่ร่วมกันจนได้ให้กำเนิดพระประสูติกาลพญามังรายมหาราช เมื่อ วันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน เอกศก จุลศักราช ๖๐๑(พ.ศ.๑๗๘๒)  เวลาย่ำรุ่ง บางฉบับบอกว่าวันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ จุลศักราช ๖๐๐(พ.ศ.๑๗๘๑) ซึ่งห่างกันประมาณ ๑ ปีครับ   ในระหว่างที่พญามังรายมหาราชทรงประสูติกาลนั้นได้มีฤาษีปะทะมังกรให้คำทำนายว่าพญามังรายมหาราชจะทรงครองเมืองอยุ่เพียง ๑๖ ปีแล้วจะไปตั้งเมืองครองอยู่เองในทิศใต้ หลังจากครองเมืองนั้นเป็นเวลา ๒๐ ปีก็จะไปสร้างนครใหม่ทางทิศใต้อีก และจะมีพระชนมายุถึง ๘๐ พรรษา จะทรงมีพระเกียรติยศเป็นที่เลื่องลือทั่วไป แต่เพราะวิบากกรรมในอดีตชาติพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ด้วยสายอสุนีบาต   พญาลาวเม็งทรงปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางอย่างปกติสุขจนเจ้าชายมังรายพระชนมายุได้ ๑๓ ชันษาก็ได้ทรงร่ำเรียนวิชาศิลปศาสตร์และยุทธพิชัยสงครามจากพระอาจารย์ที่พระราชบิดาทรงหามาให้ และทรงไปศึกษาวิชากับเทพอิสิฤาษีที่ดอยด้วน(ปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่อำเภอพานเรียกว่าดอยหัวง้ม) ซึ่งเป็นสำนักเดียวกันที่ทรงศึกษากับเจ้าชายงำเมือง(พญางำเมือง)และเจ้าชายราม(พ่อขุนรามคำแหง)  แล้วได้รำเรียนวิชาจบแล้วก็ย้ายไปสุกทันตฤๅษีก็ยังพบสหายอยู่เมื่อเรียนวิชาสำเร็จเจ้าชายทั้งสามเห็นว่าต้องแยกจากกันจึงดื่มน้ำสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปแล้วได้พูดว่า หากใครบ่ซื่อคิดคดขอให้ตายในสามวันอย่าให้ทันในสามเดือนอย่าให้เคลื่อนในสามปี จากนั้นเจ้าชายทั้งสามก็กลับบ้านเมืองของตนไปเมื่อเจ้าชายมังรายมีพระชนมายุ ๑๖ ชันษา พญาลาวเม็งทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายไปเป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนครเพื่อนบ้าน ได้แก่ นครเชียงรุ้ง นครเชียงคำ นครเชียงเรือง ต่อมาเจ้าชายมังรายได้เข้าพระราชพิธีอาวาหมงคลกับเจ้าหญิงเรือนคำ พระราชธิดาในพญาเจือง แห่งนครเชียงรุ้ง ณ เมืองหิรัญนคร หลังจากที่เจ้าชายมังรายเข้าพระราชพิธีอาวาหมงคลได้ไม่นาน พญาลาวเม็งทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายมังรายเป็นอุปราช   พ.ศ.๑๘๐๒ พญาลาวเม็งทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต พระชนม์ได้ ๗๕ พรรษา ครองราชย์ได้ ๔๐ พรรษา เจ้าชายมังรายจึงได้ขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อมา เป็นรัชกาลที่ ๒๕ แห่งราชวงศ์ลวจักราช  ทรงพระนามว่า พญามังราย 
                           พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่ขึ้นอยู่กับหิรัญนครเงินยางที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ มีเรื่องวิวาทแย่งชิงบ้านเมืองไพร่และส่วยสาอากรอยู่เป็นเนืองๆ จึงทรงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์ แต่งพระราชสาส์นไปถึงบรรดาหัวเมืองต่างๆ ให้มาอ่อนน้อมในพระบรมโพธิสมภารของพระองค์เสียแต่โดยดี มิฉะนั้นพระองค์จะทรงยกทัพไปปราบปราม แล้วพระองค์ก็แต่งราชทูตมอม  เมืองไล่ เมืองเชียงคำ เมืองเชียงช้าง อันเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ เมืองเหล่านี้ถือว่าตนเป็นเชื้อสายเจ้าลาวคอบอันเป็นโอรสของพญาจักราชปฐมวงศ์มาแต่กาลก่อน ไม่ยอมอ่อนน้อมจัดแต่งกำลังป้องกันไว้อย่างเข้มแข็ง เมื่อพญามังรายทราบก็ทรงยกกองทัพไปตีเมืองมอมก่อน เมื่อทรงได้เมืองมอมแล้วก็ทรงยกทัพไปตีเมืองไล่  เจ้าเมืองหนีออกจากเมืองไปจึงได้นามเมืองว่าเมืองไล่(ปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด)  จากนั้นทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงช้าง เจ้าเมืองเชียงช้างสำนึกว่าตนเป็นเมืองน้อย จึงแต่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพญามังราย  พญามังรายทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง  ทรงโปรดให้เจ้าเมืองเชียงช้างครองเมืองต่อไป  และโปรดให้เจ้าเมืองเชียงช้างนำทัพไปติดตามพลเมืองที่แตกฉานจากบ้านเมืองไปในที่ต่างๆ ให้กลับเข้ามายังบ้านเมืองอย่างเดิม แล้วทรงยกทัพกลับคืนยังเมืองหิรัญนครเงินยาง ในปี พ.ศ.๑๘๐๒   
                            ครั้นต่อมาช้างพระที่นั่งมงคลของพญามังราย ซึ่งทอดไว้ในป่าหัวดอยทางทิศตะวันออกของเมืองเต่ารอย  หรือเมืองลาวกู่เต้านั้นหายไป พญามังรายพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารออกติดตามช้างไปถึงดอยจอมทองริมแม่น้ำกก พญามังรายทรงทอดพระเนตรเห็นว่าภูมิประเทศแถบนั้นสมควรจะสร้างเป็นเมืองได้จึงโปรดให้สร้างเป็นเมืองพระนคร โดยให้ก่อกำแพงเมืองโอบเอาดอยจอมทองไว้ท่ามกลางเมือง แล้วทรงขนานนามว่า เมืองเชียงราย(เจียงฮาย)  ปีที่พระองค์ทรงสร้างเมืองเชียงรายนั้นตรงกับ พ.ศ.๑๘๐๕ พระองค์ได้ยกทัพไปตีเชียงตุง ได้จากมางคุมมางเคียน ซึ่งเป็นพญาลัวะ มางคุมมางเคียนยอมแพ้ในเวลานั้นยังไม่ได้เรียกว่าเมืองเชียงตุง เมื่อพญามังรายทรงปราบพวกลัวะได้จึงให้สร้างเมืองขึ้นใหม่และทรงขนานนามว่า นครเชียงตุง ในปีนั้นพระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติกาลพระราชโอรสองค์แรก ทรงพระนามว่าเจ้าขุนเครื่อง ในปี พ.ศ.๑๘๐๘ ได้พระโอรสองค์ที่๒ พระนามว่าเจ้าขุนคราม และในปีถัดมาได้พระโอรสพระนามว่า เจ้าขุนเครือ
                          เมื่อเจ้าขุนเครือ พระชนม์ได้ ๑๖ ชันษา พญามังรายมหาราชทรงโปรดให้ไปครองเมืองเชียงราย ส่วนพระองค์ทรงไปครองเมืองฝางเพื่อหวังที่จะแผ่ขยายอาณาจักรลงมาทางใต้ ดังที่ทรงมีพระประสงค์ไว้
                       ส่วนเจ้าขุนเครื่อง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นพระยุพราช มีมนตรีที่ประจบสอพลอคนหนึ่งนามว่า ขวัญฟ้า มีลูกสาวชื่อว่าคำฟูต่อมาเจ้าขุนเครื่องสู่ขอคำฟูเป็นชายาขวัญฟ้าได้ทำการยุแหย่เจ้าขุนเครื่องให้ลอบปลงพระชนม์พระบิดาแต่มีมนตรีคนเก่าแก่ของเจ้าขุนเครื่องคนหนึ่งที่พญามังรายเจ้าส่งมาและถูกเจ้าขุนเครื่องปลดออกแล้วได้ทราบความลับดังกล่าว มนตรีคนนี้จึงได้ไปกราบทูลพญามังรายเจ้าให้ทรงทราบ พญามังรายจึงทรงส่งคนมาสืบและทรงทราบว่าเป็นเรื่องจริง จึงโปรดเกล้าให้อ้ายเผียนนายขมังธนูนักแม่นหน้าไม้เผ่าเชียงตุงเข้าเฝ้า และทรงรับสั่งให้สังหารเจ้าขุนเครื่องอ้ายเผียนจึงได้สังหาร เจ้าขุนเครื่อง ขวัญฟ้า และนางคำฟูด้วยธนูอาบยาพิษ

การแผ่พระบารมีของพญามังรายมหาราช
พ.ศ.๑๘๑๑ ได้แปรพระราชฐานไปประทับอยู่เมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าลวจักราช ปฐมวงศ์ เมื่อพ.ศ.๑๑๘๓
พ.ศ.๑๘๑๒ ทรงยกทัพไปตีเมืองผาแดงเชียงของได้ แล้วทรงเสด็จกลับมาประทับที่เมืองฝาง
พ.ศ.๑๘๑๔ ทรงยกทัพไปตีเมืองเชิง ทรงได้รับชัยชนะและทรงได้เมืองเชิงมาไว้ในครอบครอง แล้วเสด็จกลับมาประทับที่เมืองฝาง
พ.ศ.๑๘๑๙ ทรงยกทัพไปตีแคว้นพะเยาของ พญางำเมืองธรรมมิกราช แต่พญางำเมืองทรงแต่งขบวนออกมาต้อนรับ พญามังรายจึงทรงรับเป็นไมตรีต่อกัน และพญางำเมืองได้ยกดินแดนบริเวณตำบลปากน้ำให้แก่พญามังรายอีกด้วยครับ
พ.ศ.๑๘๒๔ ทรงยกทัพไปตีแคว้นหริภุญชัยจาก พญายีบา ทรงทำสงครามอยู่นานกว่าจะสำเร็จทรงส่งให้ขุนฟ้าเข้าไปเป็นไส้ศึกในนครหริภุญชัย เมื่อขุนฟ้าสบโอกาสจึงได้ส่งข่าวไปบอกแก่พญามังรายเจ้ายกทัพเข้าตีหริภุญชัยสำเร็จ พญายีบาทรงเสด็จหนีออกจากเมืองโดยได้รับความช่วยเหลือจากพญาเบิก เจ้าเมืองเขลางค์นครซึ่งเป็นพระโอรสของพญายีบา พญายีบาเสด็จหนีออกเมืองไปถึงดอยกลางป่าก็คิดนึกได้ที่เสียรู้ขุนฟ้าเป็นไส้ศึกให้พญามังรายก็เสียใจหลั่งน้ำตาร้องไห้ สถานที่น้ำตาตกนี้จึงมีชื่อว่า ดอยพระยายีบาร้องไห้” มาจนทุกวันนี้ ต่อมาพระยายีบาจึงหนีมาอยู่กับพระยาเบิกเจ้าเมืองลำปาง(เขลางค์) ผู้เป็นโอรส เวลาล่วงไป ๑๔ ปี พระยาเบิกทรงช้างชื่อ ปานแสนพล ยกทัพไปหมายจะตีเมืองลำพูนคืนให้พระบิดา พระยามังรายให้เจ้าขุนสงครามทรงช้างชื่อแก้วไชยมงคลออกรับศึก ทั้งสองได้ทำยุทธหัตถีกัน ที่บ้านขัวมุงขุนช้าง ใกล้เมืองกุมกาม พระยาเบิกถูกหอกแทงบาดเจ็บ และตีฝ่าวงล้องออกมาได้ จึงมาตั้งรับอยู่ที่ตำบลแม่ตาล เขตเมืองลำปาง ได้สู้รบกันเป็นสามารถผล ที่สุดทัพลำปางแพ้ยับเยิน เจ้าขุนสงครามจับกุมตัวพระยาเบิกแม่ทัพได้ และปลงพระชนม์เสียที่นี่ ดวงวิญญาณอันกล้าหาญเปี่ยมไปด้วยกตัญญูเวทิคุณนี้ จึงได้รับพระราชทานนามว่า "เจ้าพ่อขุนตาน" พญามัรายทรงครองเมืองหริภุญชัยได้ ๒ ปีจึงเสด็จไปสร้างเมืองใหม่คือ เวียงกุมกาม เนื่องจากทรงมีพระดำริว่าเมืองหริภุญชัยไม่เหมาะกับพระองค์จึงทรงให้เจ้าขุนเครือพระโอรสองค์เล็กของพระองค์มาปกครองเมืองนี้แทน
พ.ศ.๑๘๓๑ ทรงยกทัพไปตีเมืองหงสาวดี พระเจ้ากรุงหงสาวดีสุทธโสมเกรงพระบารมีจึงแต่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายขอเป็นพระราชไมตรีและยอมยกพระราชธิดาพระนางปายโคให้เป็นบาทบริจาริกาแก่พระองค์
พ.ศ.๑๘๓๓ ทรงยกทัพไปตีเมืองพุกาม พระเจ้าอังวะทรงทราบข่าวจึงได้ให้เสนาอำมาตย์ นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายขอเป็นพระราชไมตรี พระเจ้าอังวะได้ทรงส่งช่างต่างๆมาให้ เช่น ช่างทองคำ ช่างทองเหลือง ช่างทองแดง ช่างเหล็กและอื่นๆ พญามังรายจึงทรงยกทัพกลับทรงโปรดให้ช่างทองไปอยู่เมืองเชียงตุง ช่างฆ้องไปอยู่ที่เมืองเชียงแสน ช่างทองเหลือง ช่างเหล็กไปอยู่ที่เมืองเวียงกุมกามอีกทั้งยังทรงได้บำรุงพระพุทธศาสนาโดยได้รับอิทธิพลตามแบบอย่างของอังวะ
พ.ศ.๑๘๓๔ เสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ที่เชิงดอยสุเทพ จถึงปี พ.ศ.๑๘๓๘ ก็แล้วเสร็จจึงได้อัญเชิญพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระเจ้าแผ่นดินสุโขทัย   พญางำเมืองธรรมมิกราช พระเจ้าแผ่นดินแคว้นพะเยา มาช่วยกันนานนามเมืองใหม่ว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
                พญามังรายมหาราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งและกล้าหาญในการศึกสงครามและทรงมีสายพระเนตรไกล เป็นกษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงจับจองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แล้วทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นหลายเมือง เช่น นครเชียงราย เวียงกุมกาม  นครเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางทางภาคเหนือ ทั้งด้านเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน


 ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
-หนังสือพระเจ้ามังรายมหาราช(พญามังรายมหาราช):อุดม เชยกีวงศ์
-หนังสือพระราชประวัติ ๑๐ มหาราชของไทย
-http://www.bloggang.com (มังรายศาสตร์ : ฉบับ ดร.ประเสริฐ ณ นคร เรียบเรียงเป็นภาษาปัจจุบัน:(Merchant Dream )
-หนังสือ สารนิยาน ใต้ฟ้าลานนา ของอสิธารา
-http://www.oknation.net (หลักฐาน ปวศ. ชี้ชัด พญามังราย ไม่ใช่ พ่อขุนเม็งราย:ทรายโข่ง)
-http://www.chiangsaenlife.com (มังราย กับ เม็งราย อย่างไหนถูก?)
-http://board.dserver.org (พญามังรายหรือพ่อขุนมังรายครับ:ละอ่อนเจียงของ,ละอ่อนเจียงฮาย)
-http://www.chiangraifocus.com (เชียงรายโฟกัส:นี่หรือที่สวรรคตของพญามังราย:เชียงรายพันธุ์แท้)
-http://www.thaigoodview.com (อาณาจักรสุโขทัย:คุณครูมาลัยวรรณ  จันทร)
-http://th.wikipedia.org (พ่อขุนเม็งรายมหาราช)
-http://www.chomthai.com (เวียงกุมกามตามอัธยาศัย)

ประวัติเทศกาลกินเจ


imageเทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้วในประเทศจีน ตามตำนานระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยที่ชาวจีนถูกแมนจูเข้ามาปกครอง และบังคับชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน
สมัยนั้นเองมีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้าร่วมด้วย
ชาวจีนกลุ่มนี้นุ่งขาว ห่มขาว และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองได้
คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “หงี่หั่วท้วง” แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู และพลีชีพไปจำนวนมาก
ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจู จึงพร้อมใจกันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึง “หงี่หั่วท้วง”
นอกจากนั้น การกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9
ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อสมาทานศีลคือ
1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน
เทศกาลกินเจของคนเชื้อสายจีนในไทยก็เป็นไปตามความเชื่อข้างต้น คือเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์
ความหมายของธงเจ
อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า “ไจ” หรือ “เจ” มีความหมายว่า “ของไม่มีคาว”
สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล
ธงเจนอกจากเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเตือนพุทธศาส นิกชนที่ปฏิบัติตน “ถือศีล-กินเจ” ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน
การปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ
งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์
งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักimageเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
รักษาศีล 5
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว
“อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5
ตามความเชื่อทางการแพทย์จีน ของผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ “ถือศีล-กินเจ” แล้ว ยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ “อาหารเจ” นั้นบริสุทธิ์จริงๆ
บางคนจะคัดแยกภาชนะบรรจุหรือปรุงอาหาร จากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด
และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลากินเจ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา
การกินเจทำได้ 2 แบบ คือ
1.กินเป็นกิจวัตร คือ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อทุกวัน
2.กินเฉพาะช่วงกินเจ คือ กินเจช่วงวันขึ้น 1 ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน
ส่วนจะปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า หรือเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต หรือตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปได้เสมอ

แนะกินเจให้ถูกหลัก สร้างสมดุล-ลดเสี่ยง 5 โรคร้าย

image
<!–detail–><!–images–><!–images–>
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เทศกาลกินเจที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้ (10 ต.ค.) จนถึงวันที่ 20 ต.ค. นี้ ประชาชนจะต้องกินเจให้ถูกหลักโภชนา คือ ต้องกินอาหารให้ได้สัดส่วน ครบทั้ง 5 หมู่ และต้องกินผักผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อสร้างความสมดุลต่อร่างกาย และจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายทั้ง 5 โรค เบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ และสมองตีบ
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า หากกินอาหารเจตามแฟชั่น คือ กินอาหารที่มีแป้ง อาหารทอดผัด และ มีความมันสูง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง จึงแนะควรกินเจอย่างระมัดระวัง เน้นอาหารต้ม นึ่ง ย่าง และ ยำ ให้หลีกเลี่ยงอาหาร รสจัด หวาน มันและเค็มเพื่อรักษาสุขภาพในช่วงกินเจ
สำหรับเทศกาลกินเจปีนี้อยู่ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.ถึง 7 ต.ค. 2551
ที่มา นสพ.ข่าวสด

พุทธประวัติ ประวัติพระพุทธเจ้า



ประวัติพระพุทธเจ้า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก learntripitaka.com

          "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

          ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)
          ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

          ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
 ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

          เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

          เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช

ประวัติพระพุทธเจ้า


          วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


 ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

          หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

          จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์
          หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


 ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้

ประวัติพระพุทธเจ้า

          ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา          หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

          ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

          ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา          ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
          หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

ประวัติพระพุทธเจ้า


          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว   อานนท   ธมม  จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต  โส  โว  มมจจเยน  สตถา" อันแปลว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว  บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย  ธรรมวินัยนั้น  จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

          พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก  ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

          ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต) 
          จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 , learntripitaka.comwatsansai.igetweb.com

ประวัติความเป็นมาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน


Asean Economic Community-AEC
Asean Economic Community History
AEC เป็นการพัฒนามาจากการเป็น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of South East Asian Nations : ASEAN) ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เมื่อ 8 สิงหาคม 2510 โดยมีประเทศผู้ก่อตั้งแรกเริ่ม 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาในปี 2527 บรูไน ก็ได้เข้าเป็นสมาชิก ตามด้วย 2538 เวียดนาม ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิก ต่อมา 2540 ลาวและพม่า เข้าร่วม และปี 2542 กัมพูชา ก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกลำดับที่ 10 ทำให้ปัจจุบันอาเซียนเป็นกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคขนาดใหญ่ มีประชากร รวมกันเกือบ 500 ล้านคน
จากนั้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่  9 ที่อินโดนีเซีย เมื่อ 7 ต.ค.  2546  ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตกลงกันที่จะจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งประกอบด้วย3 เสาหลัก คือ
1.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community:AEC)
2.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Socio-Cultural Pillar)
3.ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (Political and Security Pillar)
คำขวัญของอาเซียน คือ “ One Vision, One Identity, One Community.” หนึ่งวิสัยทัศน์   หนึ่งอัตลักษณ์   หนึ่งประชาคม
เดิมกำหนดเป้าหมายที่จะตั้งขึ้นในปี 2563 แต่ต่อมาได้ตกลงกันเลื่อนกำหนดให้เร็วขึ้นเป็นปี 2558 และก้าวสำคัญต่อมาคือการจัดทำปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2552 นับเป็นการยกระดับความร่วมมือของอาเซียนเข้าสู่มิติใหม่ในการสร้างประชาคม โดยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งทางกฎหมายและมีองค์กรรองรับการดำเนินการเข้าสู่เป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2558
ปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 10 ประเทศได้แก่  ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน
สำหรับเสาหลักการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC )ภายในปี 2558 เพื่อให้อาเซียนมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ อย่างเสรี และเงินทุนที่เสรีขึ้นต่อมาในปี 2550 อาเซียนได้จัดทำพิมพ์เขียวเพื่อจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) เป็นแผนบูรณาการงานด้านเศรษฐกิจให้เห็นภาพรวมในการมุ่งไปสู่ AEC ซึ่งประกอบด้วยแผนงานเศรษฐกิจในด้าน ต่าง ๆ พร้อมกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ จนบรรลุเป้าหมายในปี 2558 รวมทั้งการให้ความยืดหยุ่นตามที่ประเทศสมาชิกได้ตกลงกันล่วงหน้า
ในอนาคต AEC จะเป็นอาเซียน+3 โดยจะเพิ่มประเทศ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ด้วย และต่อไปก็จะมีการเจรจา อาเซียน+6 จะมีประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ อินเดียต่อไป


อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%8a%e0%b8%b2#ixzz2MB6pbXXq

เหยี่ยวดำ


เหยี่ยวดำ
เหยี่ยวดำ  
สัตว์ปีก
Black Kite(Pariah Kite)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Milvus migrans

ลักษณะทั่วไป
     
เป็นนกขนาดกลาง ขนาดลำตัวประมาณ 60 - 66 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกันคือ ลำตัวสีน้ำตาลเข้มอมเหลืองทั้งด้านบนและด้านล่าง ปีกสีน้ำตาลเข้ม หางเป็นแฉกตื้น ๆ มองดูคล้ายง่าม ปากสั้นดำแหลมคม ปลายปากเป็นขอ หัวค่อนข้างใหญ่ คอสั้น ปีกยาว ส่วนนกที่ยังไม่โตเต็มที่ ลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน พร้อมกับมีขีดสีเหลืองอ่อนทั่วทั้งตัว 
       

ถิ่นอาศัย, อาหาร
     มีถิ่นอาศัยอยู่ในทางเหนือของออสเตรเลีย ในไทยพบทางภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ 
     อาหารได้แก่ ปลา ลูกนก เป็ดไก่ หนู กระต่าย กบ เขียด แมลง รวมทั้งซากสัตว์ต่าง ๆ 

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
     หากินเวลากลางวัน ชอบบินอยู่ตามที่โล่งชายป่า ตามริมฝั่งทะเล หรือตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อจับเหยื่อได้ก็มักกินบนพื้นดิน หรืออาจนำไปกินบนต้นไม้ พบอยู่โดดเดี่ยว เป็นคู่หรือเป็นฝูง 
     เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ เหยี่ยวดำจะทำรังรวมกันเป็นกลุ่มบนต้นไม้สูง ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันสร้างรังด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ นำมาขัดสานกัน จากนั้นทั้งคู่จะช่วยกันกกไข่และเลี้ยงลูกอ่อน นกจะใช้เวลากกไข่นานประมาณ 29 - 32 วัน ออกไข่ครั้งละ 2 - 4 ฟอง ปกติ 3 ฟอง 

สถานภาพปัจจุบัน
     เป็นนกประจำถิ่นที่หาได้ยาก และมีปริมาณน้อย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 

สถานที่ชม
      สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์สงขลา

ประวัตินก กระจอก


เป็นนกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 13 เซนติเมตร (จากปลายปากถึงปลายหาง) ลำตัวสีน้ำตาล ข้างแก้มสีขาว ข้างหูและใต้คอ สีดำ ตัวผู้สีสดใสกว่าตัวเมียเล็กน้อย อยู่รวมกันเป็นฝูง ใกล้บริเวณที่คนอยู่ ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 1,800 เมตร ทำรังตามใต้หลังคาบ้าน หรือตามหลืบตามซอก ขยายพันธุ์ได้ตลอดปี วางไข่ครั้งละ 3-5 ฟอง ใช้เวลาฟักประมาณ 13 วัน ออกจากไข่แล้วประมาณ 14 วัน จะบินได้

นกกระจาบ 
เป็นนกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ดูทั่ว ๆ ไปจะเห็นเป็นสีน้ำตาล หัว หลัง ปีก และหาง เป็นสีน้ำตาล มุมปากถึงข้างคอสีน้ำตาลเข้ม อกและท้องสีน้ำตาลนวล ระยะผสมพันธุ์ตัวผู้ที่โตเต็มวัยขนหัวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ปากสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ปากสั้น ปลายแหลมและแข็งแรง
นกกระจาบอยู่รวมกันเป็นฝูง ตามท้องทุ่ง ไร่ นา รังสร้างเอง ปราณีต ทนทาน ใช้เวลาสร้างนานหลายวัน มักพบห้อยระย้าอยู่หลายรังตามต้นไม้ต้นเดียวกัน รังนกกระจาบมีความปลอดภัยกว่านกชนิดอื่น กันแดด ฝน ลม ได้ดี และป้องกันภัยจากศัตรูพวกงู หนู และเหยี่ยวได้ดี
นกกระจาบที่พบในไทย มี 3 ชนิด คือ
นกกระจาบเรียบ อกไม่มีลาย พบทั่วทุกภาค และมีจำนวนมากกว่าชนิดอื่น
นกกระจาบอกลาย อกมีลายจุดสีน้ำตาล พบในภาคกลาง และภาคเหนือ
นกกระจาบทอง ในฤดูผสมพันธุ์ขนที่คอตัวผู้จะเป็นสีเหลืองสด พบเฉพาะภาคกลาง


นกกระจิบ
เป็นนกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ปากเล็กยาว ปลายแหลมตรง ขายาวเรียวเล็ก ชอบกระดกหางขึ้นลงและกระโดดไปมาเกือบตลอดเวลา กินแมลงตามกิ่งไม้ บางครั้งบนพื้นดิน
นกกระจิบมักอยู่เป็นคู่ ผสมพันธุ์ตลอดทั้งปี แต่มักเป็นช่วงฤดูฝน ทำรังด้วยการดึงใบไม้เล็ก ๆ เข้าหากัน วางไข่ครั้งละ 3-5 ฟอง ทั้งคู่ผลัดกันกกไข่ ใช้เวลาประมาณ 12 วัน ก็ฟักออกเป็นตัว ทั้งตัวผู้ตัวเมียจะช่วยกันเลี้ยงลูก
นกกกระจิบในประเทศไทย มี 5 ชนิด คือ
นกกระจิบหางยาว และนกกระจิบคอดำ พบทั่วทุกภาค
นกกระจิบหัวแดง พบทางภาคใต้ตอนล่าง
นกกระจิบกระหม่อมแดง พบทางภาคใต้
กระกระจิบภูเขา พบทางภาคเหนือ


นกกระตั้ว

เป็นนกปากงุ้มเป็นขอชนิดหนึ่ง คล้ายนกแก้วแต่ตัวโตกว่า มีหงอน ยาวประมาณ 46 เซนติเมตร สีขาวทั้งตัว รวมทั้งหงอน ซึ่งโค้งไปข้างหลัง ขนใต้ปีกและใต้หางมีสีเหลืองปน หนังรอบตาสีขาวอมเหลือง ปากหนาแข็งแรงสีดำอมเทา ปากบนใหญ่คลุมปากล่าง ขาสีเทา ม่านตาของตัวผู้สีน้ำตาลแก่ ส่วนของตัวเมียเป็นสีน้ำตาลแดง
นกกระตั้วมักอยู่เป็นคู่ หรือฝูงเล็ก ๆ มักเกาะตามต้นไม้สูง กินผลไม้ เมล็ดพืชและแมลง วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ทั้งคู่ผลัดกันกกไข่ ระยะฟักไข่ประมาณ 4 สัปดาห์ ลูกนกจะบินได้เมื่ออายุประมาณ 3 เดือน
นกกระตั้วดำ ตัวโตกว่านกกระตั้วธรรมดาพอสมควร คือยาวถึง 56 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ขนสีดำตลอดตัว
นกกระตั้วหงอนเหลือง ตัวขนาดเดียวกับนกกระตั้วธรรมดา แต่หงอนเป็นสีเหลือง


นกกระติ๊ด

เป็นนกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 16 เซนติเมตร ปากสั้นหนา ปลายแหลม แข็งแรง หัวกลม ลำตัวป้อม มีหลายสี เช่น แดง เขียว น้ำตาล
นกกระติ๊ดมักหากินเป็นฝูง บินเกาะกลุ่มชิดกันพร้อมทั้งส่งเสียงร้อง มองระยะไกลดูคล้ายฝูงผึ้ง กินเมล็ดพืชเป็นอาหาร ทำรังอยู่ตามพุ่มไม้เตี้ย ๆ หรือกอหญ้า ตัวผู้สร้างรัง วางไข่ครั้งละ 4-10 ฟอง ตัวเมียกกไข่ ใช้เวลาฟักประมาณ 12 วัน เมื่ออายุได้ 16 วัน ลูกนกก็บินได้
ในประเทศไทย มีนกกระติ๊ด อยู่ 7 ชนิด คือ
นกกระติ๊ดตะโพกขาว นกกระติ๊ดขี้หมู และนกกระติ๊ดแดง พบอยู่ทั่วไปทุกภาค เว้นภาคใต้
นกกระติ๊ดสีอิฐ พบอยู่ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ตอนบน
นกกระติ๊ดตัวขาว และนกกระติ๊ดท้องขาว พบในภาคใต้
นกกระติ๊ดเขียว พบในทุกภาค เว้นภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ