 |
พระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ตั้งอยู่ในตัวเมืองจังหวัดเชียงราย บริเวณทางแยกที่จะไป อำเภอแม่จัน |
พระราชตระกูลของพญามังรายมหาราช เริ่มต้นตั้งแต่ชาวไทยภาคเหนือหรือชาวไทยยวนอันเป็นบรรพบุรุษของชาวล้านนาหรือไทยเหนือในปัจจุบัน ได้อพยพหนีภัยจากการรุกรานของจีน เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง เมื่อประมาณ พ.ศ.๑๑๘๒ อันเป็นที่อยู่ของพวกชนเผ่าละว้าหรือลัวะ ชนเผ่าไทยยวนได้ขับไล่พวกละว้าออกไปแล้วตั้งอาณาจักรของตนขึ้นใหม่ว่า อาณาจักรหิรัญนครเงินยาง และได้สถาปนาพระมหากษัตริย์ปกครองเมืองคือ พญาลวจังกราชหรือปู่เจ้าลาวจกนั่นเองครับ ซึ่งพระองค์ก็คือบรรพบุรุษของพญามังรายมหาราชครับ พญาลวจังกราชได้สถาปนาราชวงศ์ จักราช และทรงมีพระราชโอรส ๓ พระองค์คือ ลาวหม้อ(ต่อมาได้ครองเมืองเชียงลาว) ลาวล้าน(ต่อมาได้ทรงครองเมืองเชียงรุ้ง) ลาวกลิ่น(ต่อมาทรงได้ครองเมืองเวียงสีทอง) พระโอรสที่มีความสังพันธ์เกี่ยวเนื่องกับพญามังรายมหาราชก็คือพญาลาวล้านและพญาลาวกลิ่น กล่าวคือ พญาลาวล้านเมื่อทรงครองราชย์ที่นครเชียงรุ้งนั้นได้ทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า ท้าวรุ้งแก่น และทรงมีพระธิดาพระนามว่า เจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง ส่วนพญาลาวกลิ่นเจ้าแผ่นดินเวียงสีทองทรงมีพระโอรสพระนามว่า ลาวเคียง เมื่อลาวเคียงได้เป้นรัชทายาทก็ทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า พญาลาวเงิน เมื่อพญาลาวเงินทรงครองราชย์สมบัติก็ได้ทรงมีพระโอรสพระนามว่า ลาวเม็ง กล่าวคือพญาลาวเม็งเป็นหลานปู่ของพญาลาวกลิ่น
เมื่อพญาลาวเงินสิ้นพระชนม์ พญาลาวเม็งก็ได้ทรงครองราชย์สืบมา พญาลาวเม็งทรงมีความต้องการที่จะได้เมืองเชียงรุ้งเป็นพระเทศราชซึ่งเมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองที่ใหญ่โตและอุดมสมบูรณ์ซึ่งจะทำให้แคว้นเวียงสีทองมีความยิ่งใหญ่ขึ้น ขณะนั้นท้าวรุ้งแก่นแห่งแคว้นเชียงรุ้งทรงชราภาพมากแล้ว เมื่อพญาลาวเม็งยกทัพมาประชิดพระนคร เจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมืองพระราชิดาจึงอาสายกทัพไปรบกับพญาลาวเม็งโดยทรงปลอมพระองค์เป็นชาย ซึ่งพญาลาวเม็งทรงทราบว่าแท้จริงแล้วเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมืองเป็นหญิง พยาลาวเม็งจึงทรงมีพระราชหฤทัยเสน่หาในเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง จนในที่สุดพญาลาวเม็งก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอั้วมิ่งจอมเมือง และได้เปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าเทพคำขยาย
พญาลาวเม็งและเจ้าเทพคำขยาย ทรงมีความสุขอยู่ร่วมกันจนได้ให้กำเนิดพระประสูติกาลพญามังรายมหาราช เมื่อ วันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน เอกศก จุลศักราช ๖๐๑(พ.ศ.๑๗๘๒) เวลาย่ำรุ่ง บางฉบับบอกว่าวันอาทิตย์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ จุลศักราช ๖๐๐(พ.ศ.๑๗๘๑) ซึ่งห่างกันประมาณ ๑ ปีครับ ในระหว่างที่พญามังรายมหาราชทรงประสูติกาลนั้นได้มีฤาษีปะทะมังกรให้คำทำนายว่าพญามังรายมหาราชจะทรงครองเมืองอยุ่เพียง ๑๖ ปีแล้วจะไปตั้งเมืองครองอยู่เองในทิศใต้ หลังจากครองเมืองนั้นเป็นเวลา ๒๐ ปีก็จะไปสร้างนครใหม่ทางทิศใต้อีก และจะมีพระชนมายุถึง ๘๐ พรรษา จะทรงมีพระเกียรติยศเป็นที่เลื่องลือทั่วไป แต่เพราะวิบากกรรมในอดีตชาติพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ด้วยสายอสุนีบาต พญาลาวเม็งทรงปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางอย่างปกติสุขจนเจ้าชายมังรายพระชนมายุได้ ๑๓ ชันษาก็ได้ทรงร่ำเรียนวิชาศิลปศาสตร์และยุทธพิชัยสงครามจากพระอาจารย์ที่พระราชบิดาทรงหามาให้ และทรงไปศึกษาวิชากับเทพอิสิฤาษีที่ดอยด้วน(ปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่อำเภอพานเรียกว่าดอยหัวง้ม) ซึ่งเป็นสำนักเดียวกันที่ทรงศึกษากับเจ้าชายงำเมือง(พญางำเมือง)และเจ้าชายราม(พ่อขุนรามคำแหง) แล้วได้รำเรียนวิชาจบแล้วก็ย้ายไปสุกทันตฤๅษีก็ยังพบสหายอยู่เมื่อเรียนวิชาสำเร็จเจ้าชายทั้งสามเห็นว่าต้องแยกจากกันจึงดื่มน้ำสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปแล้วได้พูดว่า หากใครบ่ซื่อคิดคดขอให้ตายในสามวันอย่าให้ทันในสามเดือนอย่าให้เคลื่อนในสามปี จากนั้นเจ้าชายทั้งสามก็กลับบ้านเมืองของตนไปเมื่อเจ้าชายมังรายมีพระชนมายุ ๑๖ ชันษา พญาลาวเม็งทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายไปเป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนครเพื่อนบ้าน ได้แก่ นครเชียงรุ้ง นครเชียงคำ นครเชียงเรือง ต่อมาเจ้าชายมังรายได้เข้าพระราชพิธีอาวาหมงคลกับเจ้าหญิงเรือนคำ พระราชธิดาในพญาเจือง แห่งนครเชียงรุ้ง ณ เมืองหิรัญนคร หลังจากที่เจ้าชายมังรายเข้าพระราชพิธีอาวาหมงคลได้ไม่นาน พญาลาวเม็งทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายมังรายเป็นอุปราช พ.ศ.๑๘๐๒ พญาลาวเม็งทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต พระชนม์ได้ ๗๕ พรรษา ครองราชย์ได้ ๔๐ พรรษา เจ้าชายมังรายจึงได้ขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อมา เป็นรัชกาลที่ ๒๕ แห่งราชวงศ์ลวจักราช ทรงพระนามว่า พญามังราย
พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่ขึ้นอยู่กับหิรัญนครเงินยางที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ มีเรื่องวิวาทแย่งชิงบ้านเมืองไพร่และส่วยสาอากรอยู่เป็นเนืองๆ จึงทรงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์ แต่งพระราชสาส์นไปถึงบรรดาหัวเมืองต่างๆ ให้มาอ่อนน้อมในพระบรมโพธิสมภารของพระองค์เสียแต่โดยดี มิฉะนั้นพระองค์จะทรงยกทัพไปปราบปราม แล้วพระองค์ก็แต่งราชทูตมอม เมืองไล่ เมืองเชียงคำ เมืองเชียงช้าง อันเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ เมืองเหล่านี้ถือว่าตนเป็นเชื้อสายเจ้าลาวคอบอันเป็นโอรสของพญาจักราชปฐมวงศ์มาแต่กาลก่อน ไม่ยอมอ่อนน้อมจัดแต่งกำลังป้องกันไว้อย่างเข้มแข็ง เมื่อพญามังรายทราบก็ทรงยกกองทัพไปตีเมืองมอมก่อน เมื่อทรงได้เมืองมอมแล้วก็ทรงยกทัพไปตีเมืองไล่ เจ้าเมืองหนีออกจากเมืองไปจึงได้นามเมืองว่าเมืองไล่(ปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด) จากนั้นทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงช้าง เจ้าเมืองเชียงช้างสำนึกว่าตนเป็นเมืองน้อย จึงแต่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพญามังราย พญามังรายทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงโปรดให้เจ้าเมืองเชียงช้างครองเมืองต่อไป และโปรดให้เจ้าเมืองเชียงช้างนำทัพไปติดตามพลเมืองที่แตกฉานจากบ้านเมืองไปในที่ต่างๆ ให้กลับเข้ามายังบ้านเมืองอย่างเดิม แล้วทรงยกทัพกลับคืนยังเมืองหิรัญนครเงินยาง ในปี พ.ศ.๑๘๐๒
ครั้นต่อมาช้างพระที่นั่งมงคลของพญามังราย ซึ่งทอดไว้ในป่าหัวดอยทางทิศตะวันออกของเมืองเต่ารอย หรือเมืองลาวกู่เต้านั้นหายไป พญามังรายพร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารออกติดตามช้างไปถึงดอยจอมทองริมแม่น้ำกก พญามังรายทรงทอดพระเนตรเห็นว่าภูมิประเทศแถบนั้นสมควรจะสร้างเป็นเมืองได้จึงโปรดให้สร้างเป็นเมืองพระนคร โดยให้ก่อกำแพงเมืองโอบเอาดอยจอมทองไว้ท่ามกลางเมือง แล้วทรงขนานนามว่า เมืองเชียงราย(เจียงฮาย) ปีที่พระองค์ทรงสร้างเมืองเชียงรายนั้นตรงกับ พ.ศ.๑๘๐๕ พระองค์ได้ยกทัพไปตีเชียงตุง ได้จากมางคุมมางเคียน ซึ่งเป็นพญาลัวะ มางคุมมางเคียนยอมแพ้ในเวลานั้นยังไม่ได้เรียกว่าเมืองเชียงตุง เมื่อพญามังรายทรงปราบพวกลัวะได้จึงให้สร้างเมืองขึ้นใหม่และทรงขนานนามว่า นครเชียงตุง ในปีนั้นพระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติกาลพระราชโอรสองค์แรก ทรงพระนามว่าเจ้าขุนเครื่อง ในปี พ.ศ.๑๘๐๘ ได้พระโอรสองค์ที่๒ พระนามว่าเจ้าขุนคราม และในปีถัดมาได้พระโอรสพระนามว่า เจ้าขุนเครือ
เมื่อเจ้าขุนเครือ พระชนม์ได้ ๑๖ ชันษา พญามังรายมหาราชทรงโปรดให้ไปครองเมืองเชียงราย ส่วนพระองค์ทรงไปครองเมืองฝางเพื่อหวังที่จะแผ่ขยายอาณาจักรลงมาทางใต้ ดังที่ทรงมีพระประสงค์ไว้
ส่วนเจ้าขุนเครื่อง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นพระยุพราช มีมนตรีที่ประจบสอพลอคนหนึ่งนามว่า ขวัญฟ้า มีลูกสาวชื่อว่าคำฟูต่อมาเจ้าขุนเครื่องสู่ขอคำฟูเป็นชายาขวัญฟ้าได้ทำการยุแหย่เจ้าขุนเครื่องให้ลอบปลงพระชนม์พระบิดาแต่มีมนตรีคนเก่าแก่ของเจ้าขุนเครื่องคนหนึ่งที่พญามังรายเจ้าส่งมาและถูกเจ้าขุนเครื่องปลดออกแล้วได้ทราบความลับดังกล่าว มนตรีคนนี้จึงได้ไปกราบทูลพญามังรายเจ้าให้ทรงทราบ พญามังรายจึงทรงส่งคนมาสืบและทรงทราบว่าเป็นเรื่องจริง จึงโปรดเกล้าให้อ้ายเผียนนายขมังธนูนักแม่นหน้าไม้เผ่าเชียงตุงเข้าเฝ้า และทรงรับสั่งให้สังหารเจ้าขุนเครื่องอ้ายเผียนจึงได้สังหาร เจ้าขุนเครื่อง ขวัญฟ้า และนางคำฟูด้วยธนูอาบยาพิษ
การแผ่พระบารมีของพญามังรายมหาราช
พ.ศ.๑๘๑๑ ได้แปรพระราชฐานไปประทับอยู่เมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าลวจักราช ปฐมวงศ์ เมื่อพ.ศ.๑๑๘๓
พ.ศ.๑๘๑๒ ทรงยกทัพไปตีเมืองผาแดงเชียงของได้ แล้วทรงเสด็จกลับมาประทับที่เมืองฝาง
พ.ศ.๑๘๑๔ ทรงยกทัพไปตีเมืองเชิง ทรงได้รับชัยชนะและทรงได้เมืองเชิงมาไว้ในครอบครอง แล้วเสด็จกลับมาประทับที่เมืองฝาง
พ.ศ.๑๘๑๙ ทรงยกทัพไปตีแคว้นพะเยาของ พญางำเมืองธรรมมิกราช แต่พญางำเมืองทรงแต่งขบวนออกมาต้อนรับ พญามังรายจึงทรงรับเป็นไมตรีต่อกัน และพญางำเมืองได้ยกดินแดนบริเวณตำบลปากน้ำให้แก่พญามังรายอีกด้วยครับ
พ.ศ.๑๘๒๔ ทรงยกทัพไปตีแคว้นหริภุญชัยจาก พญายีบา ทรงทำสงครามอยู่นานกว่าจะสำเร็จทรงส่งให้ขุนฟ้าเข้าไปเป็นไส้ศึกในนครหริภุญชัย เมื่อขุนฟ้าสบโอกาสจึงได้ส่งข่าวไปบอกแก่พญามังรายเจ้ายกทัพเข้าตีหริภุญชัยสำเร็จ พญายีบาทรงเสด็จหนีออกจากเมืองโดยได้รับความช่วยเหลือจากพญาเบิก เจ้าเมืองเขลางค์นครซึ่งเป็นพระโอรสของพญายีบา พญายีบาเสด็จหนีออกเมืองไปถึงดอยกลางป่าก็คิดนึกได้ที่เสียรู้ขุนฟ้าเป็นไส้ศึกให้พญามังรายก็เสียใจหลั่งน้ำตาร้องไห้ สถานที่น้ำตาตกนี้จึงมีชื่อว่า “ดอยพระยายีบาร้องไห้” มาจนทุกวันนี้ ต่อมาพระยายีบาจึงหนีมาอยู่กับพระยาเบิกเจ้าเมืองลำปาง(เขลางค์) ผู้เป็นโอรส เวลาล่วงไป ๑๔ ปี พระยาเบิกทรงช้างชื่อ ปานแสนพล ยกทัพไปหมายจะตีเมืองลำพูนคืนให้พระบิดา พระยามังรายให้เจ้าขุนสงครามทรงช้างชื่อแก้วไชยมงคลออกรับศึก ทั้งสองได้ทำยุทธหัตถีกัน ที่บ้านขัวมุงขุนช้าง ใกล้เมืองกุมกาม พระยาเบิกถูกหอกแทงบาดเจ็บ และตีฝ่าวงล้องออกมาได้ จึงมาตั้งรับอยู่ที่ตำบลแม่ตาล เขตเมืองลำปาง ได้สู้รบกันเป็นสามารถผล ที่สุดทัพลำปางแพ้ยับเยิน เจ้าขุนสงครามจับกุมตัวพระยาเบิกแม่ทัพได้ และปลงพระชนม์เสียที่นี่ ดวงวิญญาณอันกล้าหาญเปี่ยมไปด้วยกตัญญูเวทิคุณนี้ จึงได้รับพระราชทานนามว่า "เจ้าพ่อขุนตาน" พญามัรายทรงครองเมืองหริภุญชัยได้ ๒ ปีจึงเสด็จไปสร้างเมืองใหม่คือ เวียงกุมกาม เนื่องจากทรงมีพระดำริว่าเมืองหริภุญชัยไม่เหมาะกับพระองค์จึงทรงให้เจ้าขุนเครือพระโอรสองค์เล็กของพระองค์มาปกครองเมืองนี้แทน
พ.ศ.๑๘๓๑ ทรงยกทัพไปตีเมืองหงสาวดี พระเจ้ากรุงหงสาวดีสุทธโสมเกรงพระบารมีจึงแต่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายขอเป็นพระราชไมตรีและยอมยกพระราชธิดาพระนางปายโคให้เป็นบาทบริจาริกาแก่พระองค์
พ.ศ.๑๘๓๓ ทรงยกทัพไปตีเมืองพุกาม พระเจ้าอังวะทรงทราบข่าวจึงได้ให้เสนาอำมาตย์ นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายขอเป็นพระราชไมตรี พระเจ้าอังวะได้ทรงส่งช่างต่างๆมาให้ เช่น ช่างทองคำ ช่างทองเหลือง ช่างทองแดง ช่างเหล็กและอื่นๆ พญามังรายจึงทรงยกทัพกลับทรงโปรดให้ช่างทองไปอยู่เมืองเชียงตุง ช่างฆ้องไปอยู่ที่เมืองเชียงแสน ช่างทองเหลือง ช่างเหล็กไปอยู่ที่เมืองเวียงกุมกามอีกทั้งยังทรงได้บำรุงพระพุทธศาสนาโดยได้รับอิทธิพลตามแบบอย่างของอังวะ
พ.ศ.๑๘๓๔ เสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ที่เชิงดอยสุเทพ จถึงปี พ.ศ.๑๘๓๘ ก็แล้วเสร็จจึงได้อัญเชิญพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระเจ้าแผ่นดินสุโขทัย พญางำเมืองธรรมมิกราช พระเจ้าแผ่นดินแคว้นพะเยา มาช่วยกันนานนามเมืองใหม่ว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
พญามังรายมหาราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งและกล้าหาญในการศึกสงครามและทรงมีสายพระเนตรไกล เป็นกษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงจับจองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แล้วทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นหลายเมือง เช่น นครเชียงราย เวียงกุมกาม นครเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางทางภาคเหนือ ทั้งด้านเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
-หนังสือพระเจ้ามังรายมหาราช(พญามังรายมหาราช):อุดม เชยกีวงศ์
-หนังสือพระราชประวัติ ๑๐ มหาราชของไทย
-หนังสือ สารนิยาน ใต้ฟ้าลานนา ของอสิธารา